+66 89 900 3944
Knowledge

“Best Practices” กับ การจัดการความรู้ ตอนที่ 5 Comprehensive Knowledge Management (CKM) การจัดการความรู้ ภาคพิสดารหมายถึงกระบวนการทำ KM ที่ตอบสนองต่อการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นระบบทั้งในเชิงลึกและเชิงกว้าง และทำอย่างเป็นรูปธรรม ตอบสนองกับกลยุทธ์องค์กร เชื่อมโยงการดำเนินการด้านต่างๆ ขององค์กรอย่างครบถ้วน และเป็นฐานในการพัฒนาองค์กรไปสู่ความเป็นเลิศ

องค์ประกอบที่สำคัญของ CKM ประกอบด้วย

1.โครงสร้างของ KM (Structure) ที่เอื้อต่อความสำเร็จของการจัดการความรู้

1.1 มี Top Management ที่ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการที่จะผลักดันให้องค์กรเป็นองค์กรแห่งกาเรียนรู้โดยใช้ KM เป็นเครื่องมือ

1.2 มี KM Committee ที่มี CKO (Chief Knowledge Office) ที่มีความเข้าใจ KM อย่าถูกต้องและลึกซึงสามารถกำหนดกลยุทธ์ และถ่ายทอดกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติได้จริง

1.3 มี KM Facilitator ที่เก่งฉกาด,รอบรู้เครื่องมือหลากหลาย,เรียบเรียง,ถ่ายทอดเรื่องราวขององค์ความรู้ในองค์กรได้เป็นอย่างดี

2.มีกระบวนการทำ (Process KM) ที่ชัดเจน เป็นระบบ (Systematic) และมีประสิทธิผล (Effectiveness)

3.มีแผนกลยุทธ์การจัดการความรู้ (KM Strategy) ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์องค์กร เป้าหมายขององค์กร เป้าหมายการจัดการความรู้ที่ชัดเจน

4.คนในองค์กร (People) มีความกระหายใคร่เรียนรู้ มีวัฒนธรรมในการเรียนรู้ มีทัศนคติที่ดีในการทำงาน

5.มีวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม (Culture & Environment) ที่เอื้อต่อการเรียนรู้

6.มีระบบ IT และ Communication ที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนของการออกแบบกระบวนการในการออกแบบระบบการจัดการความรู้ ภาคพิสดาร หรือ Comprehensive KM จะประกอบด้วย

1.จะต้องทำให้ผู้บริหารและคณะผู้บริหารขององค์กรได้เข้าใจกระบวนการทำ KM อย่าถูกต้องและอย่างเป็นระบบ ทั้งหลักคิด (Concept) และแนวทางการปฏิบัติ (Practice) ให้เหมือนกันทั้งองค์กร และต้องชี้ให้เห็นว่าการบวนการการจัดการความรู้นั้นสร้างให้เกิดมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้กับองค์กรได้อย่างไร

2.จากนั้นจึงลงมือจัดทำ แผนกลยุทธ์ (Knowledge Management strategy) ให้สอดคล้องกับ แผนกลยุทธ์องค์กรที่มีการกำหนดตัวชี้วัด KM ที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดที่สำคัญขององค์กร

3.ต่อมาจึงเริ่มลงมือพัฒนา KM Facilitator ให้สามารถขับเคลื่อนแผนกลยุทธ์ในข้อ 2. หรือขั้นตอนนี้เราจะเรียกว่า KM strategy Deployment ซึ่งจะต้องให้ลงไปถึงระดับปฏิบัตการ ทั่วทั้งองค์กร และ KM Fa.จะต้องคอยติดตามประเมิน ตัวชี้วัดด้านต่างๆ ที่ได้กำหนดไว้ในแผนกลยุทธ์ให้เป็นไปตามแผน ดังนั้นขั้นตอนนี้จึงเป็นขั้นตอนที่ยากมากและค่อนข้างจะซับซ้อน เพราะต้องอาศัยทักษะและความสามารถของ KM Fa. ในการบูรณาการเครื่องมือ KM Tools ที่เหมาะสมกับองค์กร ถ้าขั้นตอนนี้ไม่สามารถ Deploy ลงไปสู่ระดับปฏิบัติการได้จริงทั่วทั้งองค์กร ก็จบกัน ……………

4.ในกระบวนการตามข้อ 3 นั้น KM Fa.จะต้องตีโจทย์ให้แตกว่า อะไรคือ Core Knowledge หลักที่สำคัญขององค์กร อะไรคือ Supporting Knowledge แล้วเลือกจับ Knowledge ประเภทที่เป็น Core มาจัดการ (Manage) ก่อนเป็นอันดับแรก ถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็น Core Knowledge ให้ไปดูจาก Products หรือ Services ขององค์กรที่จะระบุไว้ในแผนยุทธ์ศาสตร์ขององค์กร หรือจะไปดูใน Organization Profile ขององค์ก็ได้ (Analyse the data and information from the audit to define or redefine the Knowledge Management needs of the organization)

5.จากนั้นจึงเริ่มลงมือปฏิบัติการโดยทำ พิมพ์เขียว KM (KM Blueprint) , สร้าง KM Model, สร้าง KM Mapping ที่ได้จากการวิเคราะห์ระบบ Infrastructure ขององค์กร ที่ Linkage กับแผนกลยุทธ์ทั้งข้อ 1,2

6.สร้าง KM Fa. ในพื้นที่โดยการ Deploy จากแผนกลยุทธ์ในข้อที่ 2 เพื่อเเฝ้าติดตามการขับเคลื่อนความรู้ในองค์กร, ค้นหา Best Practice,

7.สรุปผลลัพธ์ KM ที่เชื่อมโยงกลับไปถึงแผนกลยุทธ์หลักองค์กร, ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียองค์กร, ระบบการพัฒนา HRD, กระบวนการในการทำงาน (Operation)

ทำแบบนี้เรื่อยๆ ไปประมาณ 2-3 ปี แล้วกลับมาทบทวน ถ้าทำแบบนี้ได้จะเป็น KM ที่ตอบโจทย์กระบวนการการเรียนรู้เพื่อพัฒนาองค์กรอย่างแท้จริง ไม่ใช่ “KM หลั่นล้า” หรือ “KM เช็งเม้ง” อย่างที่เคยทำๆ กัน


Page: 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 [Next] [Last]